การมาของ Olympus E-M1 III กล้อง Mirrorless ระดับ Flagship ที่มีผสมผสานสเปคและฟีเจอร์จาก OM-D E-M1X เข้าด้วยกัน คำถามที่เพื่อนๆน่าจะนึกถึงคือ คุ้มมั้ยที่จะอัพเกรดมาใช้ Olympus E-M1 III ซึ่ง Content นี้มีคำตอบให้เพื่อนๆแน่นอน

ตารางเปรียบเทียบ E-M1 III vs E-M1 II

มีอะไรใหม่ใน OM-D E-M1 III

Starry Sky AF หาดาวง่ายๆไม่ง้อ MF

OM-D E-M1 III ถือว่าเป็นกล้องลำดับแรกในระบบ Micro Fourthird ที่ได้รับ Feature ดังกล่าว ซึ่งปกติการถ่ายดวงดาวบนท้องฟ้านั้น ไม่ใช่เรื่องง่าย เนื่องจากท้องฟ้ามืดสนิท เป็นการยากที่ตัวกล้องจะหา Focus ได้อย่างง่ายๆเฉกเช่นแสงปกตินั่นเอง

โดย Feature นี้ตัวกล้องจะมีการประมวลจากเฟรมภาพที่เล็งไว้ หลังจากนั้นจะทำการค้นหาดวงดาวที่สามารถทำการโฟกัสได้นั่นเอง ซึ่งในแง่ของหลักการทำงานนั้น อาจจะต้องรอชมในรีวิวเต็มของ OM-D E-M1 III อีกครั้งครับ

สุดจัดในรุ่นด้วย กันสั่น 7.5 Stops

Killer Feature ประจำค่ายของ Olympus นั้น คงจะหนีไม่พ้นเรื่องระบบกันสั่นไหวใน Body หรือ กันสั่น 5 แกนนั่นเอง ที่ใน OM-D E-M1 III นั้นได้ถูกยกเครื่องใหม่ เพิ่มขีดความสามารถให้โหดยิ่งขึ้นกว่าเดิม

เดิมที OM-D E-M1 II ถูกเคลมเรื่องอัตราการลดสั่นไหวไว้ที่ 6.5 Stops ด้วยกัน แต่ใน OM-D E-M1 III สามารถทำได้ถึง 7 Stops ด้วยกันและจะเพิ่มขีดจำกัดเป็น 7.5 Stops เมื่อใช้งานบนเลนส์ที่มี Sync IS อย่าง M.Zuiko 12-100 F4 Pro IS

ถ้าถามว่า 7.5 Stops สามารถลดการสั่นไหวได้ประมาณนั้น ทาง Olympus เคลมว่าผู้ใช้งานสามารถถือเจ้า OM-D E-M1 III ที่ Shutter Speed 4 Sec. แบบ Handheld โดยไม่ต้องใช้ตั้งขากล้อง ก็ยังสามารถได้ภาพที่ไม่สั่นเบลอได้เลยทีเดียวนั่นเองครับ

Live ND เสริมพลังให้กับงาน Landscape

หากพูดถึง ND เพื่อนๆน่าจะถึง ND แบบแผ่น หรือ ฟิลเตอร์กลมอย่างแน่นอน แต่ปัจจุบันค่ายกล้องหลายๆค่าย ต่างเริ่มพัฒนา Software ที่เสมือนเป็นการจำลอง ND ให้สามารถใช้งานได้ทันทีจากในกล้อง ซึ่ง OM-D E-M1 III ก็มีให้เลือกใช้งานเช่นกัน

ประโยชน์ของ ND หลักๆคงจะหนีไม่พ้นการนำไปประยุกต์งานด้าน Landscape , Seascape กันเป็นหลัก เพื่อสร้าง Effect เกลียวคลื่นที่นุ่มละมุน , เมฆที่เคลื่อนตัวอย่างพริ้วไหว เพิ่มอารมณ์ให้กับภาพได้เป็นอย่างดี

Handheld High-Res Shot นวัตกรรมเพื่อความละเอียดของภาพ

เดิมที Handheld High-Res Shot ถูกบรรจุครั้งแรกใน OM-D E-M1X ซึ่งถือเป็นกล้อง Mirrorless รุ่นแรกของโลกที่มีฟีเจอร์ดังกล่าว โดยอาศัยหลักการการถ่ายภาพ 16 ภาพแล้วทำการรวมเป็นภาพใหม่ที่มีความละเอียดเพิ่มขึ้นจาก 20mp เป็น 50mp นั่นเอง

นอกเหนือจาก Handheld High-Res Shot ก็ยังมี High-Res Shot แบบที่ยังใช้ขาตั้งให้เลือกใช้งานอยู่เช่นเดิม โดยฟีเจอร์นี้สามารถทำให้ขยายความละเอียดจาก 20mp เพิ่มขึ้นเป็น 80mp เลยทีเดียว ซึ่งถือว่าเยอะพอสำหรับการนำไปอัดภาพได้อย่างสบาย

OM-LOG เพื่องาน Video ระดับ Cinema

เดิมทีกล้อง Mirrorless จากค่าย Olympus จะเน้นศักยภาพในงานภาพนิ่งเป็นหลัก อันจะเห็นได้จากระบบกันสั่นไหว , ระบบ Weather Seal , Pro Capture หรือ High-Res Shot ที่ตอบโจทย์งานภาพนิ่งได้เป็นอย่างดี

แต่ด้วยพฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนไป โดยเฉพาะกระแสงาน Video ที่เริ่มได้รับความนิยมอย่างต่อเนื่อง จึงทำให้ Feature ในส่วน Video ของ Olympus ได้รับการพัฒนาขึ้นด้วย ไม่ว่าจะเป็น Video Cinema 4K , Video 4K หรือ Video FHD Hi-Speed

รวมถึงการเสริมเขี้ยวเล็บให้กับงาน Video ด้วย OM-LOG เพื่อให้ไฟล์ Video ที่ถ่ายทอดผ่าน OM-D E-M1 III สามารถนำไป Process ในลักษณะ Grading ได้ดียิ่งขึ้น ซึ่งตอบโจทย์สาย Video ได้เป็นอย่างดี

Feature อื่นๆที่ถูกพัฒนาขึ้นใน E-M1 III

รองรับการอัพ Firmware ผ่านทาง WIFI จากตัวกล้อง
Live Composition เพิ่มขีดความสามารถจากเดิม 3 ชม. เป็น 6 ชม.
Timelapse เพิ่มจำนวนภาพสูงสุดเดิม 999 ภาพ เป็น 9999 ภาพ
Face / Eye AF ที่พัฒนาความสามารถในการ Tracking ได้ดียิ่งขึ้น
Joystick เพื่อใช้ในการ Control ตัวกล้องและการเลือกจุด Focus
รองรับการชาร์จผ่าน USB / Powerbank ด้วยสายที่สนับสนุน USB PD Charge

คุ้มมั้ยที่จะอัพเกรดขึ้นมาเป็น E-M1 III ?

ถ้าลองพิจารณาเฉพาะสเปคที่เพิ่มเติมเข้ามาใน OM-D E-M1 III อาจจะมองว่าคล้ายๆกับ OM-D E-M1 II อยู่บ้าง แต่ความเป็นจริง Feature ที่บรรจุอยู่ใน OM-D E-M1 III นั้นส่วนมากเป็นการอิมพอตมาจาก OM-D E-M1X ซะส่วนใหญ่

แม้ว่า OM-D E-M1 II อาจจะถูกลดบทบาทลง จากการมาของ E-M1 III ไปบ้างในฐานะ Flagship รุ่นใหม่ สำหรับ User ที่ใช้งานพื้นฐานทั่วๆไปนั้น ต้องบอกว่าเจ้า E-M1 II ก็ตอบสนองเพียงพอต่อการใช้งานได้อย่างไม่มีข้อกังขาแล้วก็ตามที

อย่าลืมว่ากล้องใน Generation ใหม่นั้น มักจะมีนัยยะแฝงในส่วน Performance ไม่ว่าจะเป็นภาพนิ่งหรืองาน Video หนึ่งในนั้นมาจากชิพประมวลที่เป็นส่วนหนึ่งที่พร้อมจะสร้างความแตกต่างได้อย่างชัดเจนขึ้น อาจจะไม่ได้เห็นผลมากจนสังเกตชัดก็ตามที

เมื่อลองย้อนกลับมากลุ่ม User ที่มี Skill การใช้งานกล้องในระดับ Advanced มากขึ้น การมาของ E-M1 III ดูเหมือนจะตอบโจทย์ USer กลุ่มนี้ได้เป็นอย่างดี เพราะ การได้รับ Feature ใหม่ๆที่ช่วยอำนวยความสะดวกในการใช้งานได้มากเท่าไร User แทบจะไม่ลังเล

ลำพังแค่ระบบกันสั่นที่เพิ่มขีดความสามารถได้มากถึง 7.5 Stops นั้น แม้แต่ผู้เขียนเองยังรู้สึกถึงความว้าวได้เช่นกัน เสมือนเป็นการชูจุดเด่นของกล้องในระบบ Micro Fourthirds ให้มีศักยภาพมากยิ่งขึ้น เผลอๆต่อไปเราอาจไม่จำเป็นต้องพกขาตั้งตลอดเวลาก็เป็นได้

นอกเหนือจากระบบกันสั่นแล้ว การได้มาซึ่ง Handheld High-Res นั้น ยิ่งเติมเต็มขีดจำกัดของกล้อง Micro Fourthirds ดียิ่งขึ้น ด้วย Crop Factor ที่ *2 แม้จะสร้าง DOF ได้ยากกว่า Fullframe แต่สามารถทำ DOF แบบชัดลึกได้ง่ายกว่า โดยไม่ต้องหรี่ F แคบสุด

จะดีแค่ไหน ถ้า User ที่เน้นการจบงานหลังทันที สามารถส่งมอบไฟล์ที่มีความละเอียดมากถึง 50 megapixels ได้ทันที โดยไม่ต้องผ่านการ Process ในโปรแกรมเฉพาะทาง หรือ หากซีเรียสก็สามารถเลือกแบบ Mode Tripod ก็จะได้คุณภาพถึง 80 Megapixels ด้วยกัน

ในด้านสาย Landscape ต้องยอมรับว่า Performance อาจจะไม่ทัดเทียมกับกล้องที่ใช้ Sensor ขนาดใหญ่กว่า แต่แลกกับความเล็ก เบา คล่องตัว ที่มาพร้อม Feature บางอย่างที่ช่วยอำนวยความสะดวกในการถ่าย Landscape ได้ดีในระดับนึง

ฟีเจอร์อย่าง Live Composition ที่สามารถสร้าง Star Trail ได้ง่ายๆจากในกล้องทันที โดยใน E-M1 III สามารถเปิดหน้ากล้องได้นานถึง 6 ชม. ด้วยกัน ฉะนั้น ภาพแนว Star Trail แทบจะไม่ใช่เรื่องยากอีกต่อไป

หรือฟีเจอร์ใหม่แกะกล่องอย่าง Starry Sky AF ที่พร้อมจะฉีกกฏการถ่ายภาพดวงดาว เดิมทีตัวกล้องมักจะ Focus ในที่แสงน้อยได้ลำบาก หรือ ไม่สามารถ Focus ได้เลยนั้น แต่ด้วยกระบรวนการของฟีเจอร์ การโฟกัสจะไม่ใช่เรื่องยากอีกต่อไป