บทความนี้อาจจะฟังดูหมิ่นอุปกรณ์สุดเทพในการถ่ายภาพในแนว Landscape หรือ การถ่ายวิว การที่ถ่ายภาพแล้วไม่ใช้ฟิลเตอร์ C-PL หรือ Polarized ฟังดูเป็นเรื่องผิดมหันต์ หรือเป็นเรื่องที่ฟังดูผิดพลาดสำหรับบางคน ซึ่งขัดแย้งสำหรับหลาย ๆ บทความที่สนันสนุนให้ใช้ C-PL ถ่ายวิวนั่นเอง
ความจริงแล้ว การใช้ฟิลเตอร์ CPL หรือ Polarized filter ให้ผลลัพท์ที่ดีขึ้นอย่างมากกับภาพวิวของคุณ แต่ก็มีบางสถานะการณ์ที่การถอดฟิลเตอร์ C-PL หรือ Polarized filter ออกกับให้ผลลัพท์ที่ดีกว่า เพราะฉะนั้นวันนี้เราจะมาบอกว่าตอนไหนที่คุณไม่ควรใช้ ฟิลเตอร์ C-PL กันครับ
Filter C-PL คืออะไร มีหน้าที่ทำอะไร ?
ก่อนที่เราจะไปดูว่าไม่ควรใช้ฟิลเตอร์ C-PL ตอนไหน เรามาดูกันก่อนว่าฟิลเตอร์ C-PL คืออะไร? ฟิลเตอร์ C-PL คือ ฟิลเตอร์ที่เราเอาไว้ตัดแสงสะท้อนจากพื้นผิว ก่อนที่จะเข้าสู่เลนส์ของคุณนั่นเอง เราสามารถหมุนฟิลเตอร์ C-PL เพื่อช่วยขจัดแสงสะท้อนที่เราไม่ต้องการออกไปได้ เช่นบนผิวน้ำ,แก้ว,ก้อนหิน,ใบไม้,หรือแม้แต่โลหะมันเงา นั่นคือช่วงเวลาที่เราต้องการควบคุมและลดแสงจ้า ๆ วาว ๆเหล่านั้น แต่ถ้าคุณไม่ต้องการลดแสงสะท้อนล่ะ หรืออยากเก็บการสะท้อนบางอย่างไว้ล่ะ เรามาดูตัวอย่างว่าเหตุการณ์แบบไหนที่จะทำให้เรารู้สึกว่าการไม่ใช้จะให้ผลลัพท์ที่ดีกว่ากันครับ
ตอนไหนที่ไม่ควรใช้ Filter C-PL ?
1.เมื่อตรงที่แสงสะท้อนมีสีที่ต้องการ
อย่างภาพตัวอย่างด้านบน สังเกตุตรงแสงที่สะท้อนตรงหินที่เปียกบริเวณฉากหน้าจะมีสีแดงของพระอาทิตย์สะท้อนอยู่ ซึ่งเป็นสิ่งที่ชอบและอยากให้มี จึงไม่จำเป็นต้องใช้ฟิลเตอร์ C-PL ในการตัดแสงสะท้อนตรงนั้นทิ้งไปถ้าตัดออกไปก้อนหินจะดูเป็นสีดำ
2.เมื่อต้องการให้ภาพดูเปียกชุ่มฉ่ำ
อย่างภาพตัวอย่างจะเราจะเห็นว่า หินส่วนที่เปียกมี Hightlight ที่ชัดเจนสวยงาม จากแสงอาทิตย์ที่สะท้อนมา แม้ว่าตรงส่วน Hightlight จะไม่ได้มีความน่าทึ่งแบบภาพก่อนหน้าก็ตาม แต่การที่หินมันมี Hightlight แล้วดูว่าเปียกให้ความรู้สึกว่าชอบมากกว่าจึงไม่ได้ใช้ฟิลเตอร์ C-PL ในการตัดแสงสะท้อนนั้นออกไปนั่นเอง
3.ในพื้นที่ ๆ มีแสงน้อยมาก หรือ ในพื่นที่อยู่ใต้ร่มเงาทั้งหมด
อย่างภาพตัวอย่างด้านบนเป็นภาพที่เปิดสปีดชัตเตอร์รับแสงนานมาก ซึ่งเป็นสถานที่ที่ถ่ายอยู่ใต้ก้อนหิน และแทบจะมีแสงลงมาตรง ๆ เลยในตอนนั้น เมื่อดวงพระอาทิตย์ตกดิน อย่างในภาพอาจจะมีไม่กี่จุดในภาพที่ใช้ฟิลเตอร์ C-PL แล้วให้ผลลัพท์ในการตัดแสงสะท้อน เช่นตรงใบไม้ที่เปียกตรง ๆ แถว ๆฉากหน้า แต่มันก็น้อยมากเพราะแสงสลัวมาก ๆ เพราะฉะนั้นจึงไม่จำเป็นที่จะต้องใช้ ฟิลเตอร์ C-PL หรือ Polarized นั่นเอง
4.ถ่ายวิวกลางคืน
เมื่อคุณต้องถ่ายภาพวิวในยามค่ำคืน เป็นสถานะการณ์ที่คุณต้องเปิดรับแสงให้ได้มากที่สุดที่คุณจะทำได้จากเลนส์ของคุณ ฟิลเตอร์ C-PL หรือ Polarized จะลดแสงที่เข้ามาและทำให้คุณต้องใช้สปีดชัตเตอร์ที่นานขึ้น หรือ ISO ที่สูงขึ้น เพราะฉะนั้นสนใจวิวและสิ่งที่จะถ่ายตรงหน้าและถอดฟิลเตอร์ C-PL ออกเถอะครับ เพื่อไม่เป็นภาระของลูกหลาน ฮ่า ๆ
5.เมื่อต้องการเงาสะท้อนบนน้ำ
ถ้าคุณชอบภาพของคุณที่ถ่ายด้วยฟิลเตอร์ C-PL สีสันทุกอย่างดูสดใส อิ่มตัว และ แสงสะท้อนทั้งหลายก็ถูกขจัดออกไป แต่แน่นอนภาพที่สะท้อนบนผิวน้ำก็หายไปด้วยเช่นกัน ซึ่งมันอาจจะทำให้คุณขัดใจสักหน่อย ถ้าคุณชอบทั้งสองแบบวิธีง่าย ๆ ก็คือถ่ายมันทั้งสองแบบ ภาพนึงใช้ฟิลเตอร์ C-PL กับอีกภาพไม่ใช้ C-PL แล้วเอาไปรวมในโปรแกรมแต่งภาพอย่าง Photoshop ได้ อย่างภาพตัวอย่างด้านบน ภาพนี้คือภาพที่รวมภาพที่ใช้ และไม่ใช้เข้าด้วยกัน โดยที่ให้ยังคงส่วนที่เป็นแสงสะท้อนของน้ำตกไว้นั่นเอง
6.เมื่อต้องการจะถ่ายรุ้งกินน้ำ
ถึงตรงนี้หลาย ๆ คนอาจจะรู้สึกแปลกใจว่าใช่เหรอ? แต่ในสายตาของฟิลเตอร์ C-PL แล้วบอกเลยว่ารุ้งกินน้ำก็คือแสงสะท้อนอย่างหนึ่งนั่นเองครับ เมื่อคุณใส่ ฟิลเตอร์ C-PL และหมุนให้มันได้ทำงานของมัน รุ้งกินน้ำจะอันตรธานหายไปจากภาพของคุณทันที ถ้าคุณหมุนกลับคืน หรือเอาฟิลเตอร์ C-PL ออก รุ้งกินน้ำก็จะกลับมาในภาพคุณอีกครั้งครับ
สรุป !! อย่าลืมพก C-PL ของคุณไปด้วยล่ะ
อ่าว ไหงงั้น ! ดังที่ได้กล่าวไปตั้งแต่ตอนต้นของบทความนี้ ช่วงเวลาถ่ายวิวส่วนใหญ่ฟิลเตอร์ C-PL ก็อยู่บนหน้าเลนส์นั้นแหละ ถ้าออกจากบ้านไปถ่ายภาพโดยไร้ฟิลเตอร์ C-PL นี่อาจจะถึงกับต้องกลับไปเอาเลยทีเดียวเพราะยังไงก้ถือว่าเป็นอุปกรณ์สำคัญที่ขาดไม่ได้ อย่างที่กล่าวนั่นแหละครับ สิ่งสำคัญอยู่ที่ว่าต้องรู้จักว่าช่วงเวลาไหนคุณต้องการอะไร และช่วงเวลาไหนไม่จำเป็นต้องใส่ฟิลเตอร์ C-PL หวังว่าบทความนี้จะช่วยให้คุณสามารถบบอกตัวเองได้ว่าช่วงเวลาไหนที่คุณจำเป็นต้องใช้หรือไม่ใช้ เพื่อให้คุณได้ภาพที่ดีที่สุดนั่นเอง
ที่มา : digital-photography-school