กราบสวัสดีเพื่อนๆที่ติดตาม Content ของ Zoomcamera ผ่านทางช่องทางต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น Facebook , Line และ/หรือ Youtube ทุกๆท่านด้วยนะครับ Admin เชื่อว่าเพื่อนๆหลายท่านเคยประสบปัญหาการถ่ายภาพที่ตัว Subject ไม่หยุดนิ่งอยู่กับที่ หรือ เกิดการเบลอได้ นั่นอาจเป็นเพราะการ Setting ที่อาจจะไม่ถูกต้องซักเท่าไรนัก โดยเฉพาะการใช้ Mode IA ด้วยแล้ว บางครั้งกล้องอาจจะคิดไม่เหมือนกับสิ่งที่เราต้องการก็เป็นได้ครับ ซึ่งวันนี้ทีมงาน Zoomcamera จะมาแบ่งปันเทคนิค ” Tips : หัดถ่าย Water Splash Photography ง่ายๆ อยู่บ้านก็ทำได้ ” โดยเราจะอาศัยการ Freeze ตัว Subject ให้อยู่กับที่ ที่สำคัญคือ ตากล้องมือใหม่ก็สามารถถ่ายได้เช่นกันครับ จะเป็นอย่างไรนั้น ไปชมกันเลยครับ
” Tips : หัดถ่าย Water Splash Photography ง่ายๆ อยู่บ้านก็ทำได้ “
Water Splash Photography คืออะไร ??
สำหรับ Water Splash Photography นั้น เป็นการถ่ายภาพวัตถุที่อาจจะมีน้ำเป็น Subject หลัก หรือ มีวัตถุอื่นๆเป็น Subject หลัก โดยมีน้ำเป็นตัวเชื่อมเรื่องราวให้ลงตัว ซึ่งเราอาจจะได้เห็นในรูปแบบของการถ่ายน้ำกระเด็น , ทิ้งวัตถุลงน้ำ และ/หรือ การถ่ายหยดน้ำ เป็นต้น ทั้งนี้พื้นฐานสำคัญอยู่ที่การ Setting ตัวกล้อง โดยเฉพาะ Speed Shutter ที่เป็นหัวหลักที่จะทำให้ได้ภาพดั่งที่เราหวังไว้ครับ
พื้นฐานการถ่าย Water Splash Photography
– Speed Shutter
สำหรับ Speed Shutter มีหน้าที่หลักๆ คือ การควบคุมระยะเวลาในการที่กล้องจะเก็บแสงว่าให้เก็บแสงนานแค่ไหน ซึ่งแสดงเป็นค่าตัวเลขในหน่วยของเวลาคือวินาที
ตัวอย่างเช่น
>>> Speed Shutter 1/500 หมายถึง การเลือกใช้ค่า Speed Shutter 1 ส่วน 500 วินาที
>>> Speed Shutter 5″ หมายถึง การเลือกใช้ค่า Speed Shutter 5 วินาที
อย่างที่เกริ่นไปเบื้องต้น ว่า การถ่าย Water Splash Photography นั้น ความสำคัญจะอยู่ที่ค่า Speed Shutter เป็นสำคัญ ยิ่ง Speed Shutter สูงเท่าไร ยิ่งทำให้เราหยุด Subject ได้ดียิ่งขึ้นครับ แต่ทั้งนี้การใช้ Speed Shutter ที่สูง ใน Mode M นั้น ภาพที่ได้ จะยิ่งมืด หรือ ติด Under มากขึ้น อันมาจากการเปิดรับแสงได้น้อยลงนั่นเองครับ
– Aperture
Aperture หรือรูรับแสง มีหน้าที่สำคัญ ที่เสมือนประตูทางเข้าของแสง อยู่ที่ว่าจะเปิดกว้างให้แสงเข้าได้มากหรือเข้าได้น้อย ซึ่งเลนส์ทุกตัวไม่ว่าจะเป็นเลนส์ Digital , เลนส์ Film ล้วนแล้วแต่สามารถปรับค่ารูรับแสงได้ โดยให้เพื่อนๆจำไว้ว่าหากรูรับแสงกว้างตัวเลขจะมีเลขน้อยๆ เช่น F1.4,F2,F2.8 แต่ถ้าหากตัวเลขยิ่งสูงขึ้นนั่นหมายความว่ารูรับแสงจะแคบลงเรื่อยๆ ครับเช่น F11,F16,F18 ครับ
นอกจากเรื่องควบคุมความสว่างความมืดของภาพ รูรับแสงยังมีหน้าที่ในการควบคุมระยะชัดตื้น หรือ ชัดลึกของภาพ หรือที่เรารู้จักกันในชื่อของ หน้าชัดหลังเบลอ นั่นเอง ยิ่งรูรับแสงกว้างภาพยิ่งเบลอฉากหลังได้ดี ยิ่งแคบภาพยิ่งชัดทั้งภาพตามภาพ ซึ่งในการถ่ายภาพ Water Splash Photography นั้น แนะนำให้ใช้ค่ารูรับแสงประมาณ F4 – F8 ( ขึ้นอยู่กับ Format กล้องนั้นๆ ) โดยเราต้องการควบคุมความชัดลึกทั่วทั้งภาพ ซึ่งคงไม่มีอยากได้แต่ภาพ Subject ที่ลอยเด่นมา แต่ไม่รู้ว่าฉากหลังคืออะไรนั่นเองครับ
– ISO
ISO มีหน้าที่ควบคุมระดับความไวของแสงที่กระทบลงไปที่เซ็นเซอร์รับภาพครับ ซึ่งค่า ISO ในตัวกล้องนั้น ยิ่งเราปรับ ISO สูงเท่าไรยิ่งทำให้ภาพที่ได้มีความสว่างมากขึ้นครับ ซึ่งนอกจากจะทำให้ภาพสว่างขึ้นแล้วใน Mode A เจ้า ISO ยังช่วยเพิ่มค่า Speed Shutter ให้กับด้วยนั่นเองครับ ในทางกลับกันหากเรามีการเร่งค่า ISO ที่สูงจนเกินไป จะมีบางสิ่งปรากฏขึ้นมาในภาพนั่นก็คือ Noise นั่นเองครับ ยิ่งในภาพเกิด Noise มากเท่าไร ภาพที่เราจะได้ยิ่งสูยเสียเสียรายละเอียดไปด้วยนั่นเองครับ ซึ่ง Noise เองจะทำให้ภาพเสียความละเอียดทั้งพื้นผิวและรายละเอียดของสีก็หายไปด้วยครับ
สำหรับการถ่ายภาพ Water Splash Photography นั้น บางครั้งเราจำเป็นต้องปรับค่า ISO ให้สูงขึ้น อาจจะใช้ตั้งแต่ ISO 800 – 6400 ตามแต่การ Setting ของแต่ละท่าน รวมถึงสภาพแวดล้อมต่างๆด้วยเช่นกัน ซึ่งถ้าหากมีการ Set ฉาก , Set ไฟ ที่มีปริมาณแสงมากเพียงพอกับการใช้ค่า Speed Shutter ที่สูงแล้ว เราอาจจะไม่จำเป็นต้องปรับค่า ISO สูงครับ
ที่กล่าวมาทั้งหมด รูรับแสง สปีดชัตเตอร์ และ ISO ทั้ง 3 ค่านี้เป็นตัวการหลักที่จะทำให้คุณได้ภาพแบบที่ต้องการ เพราะทั้ง 3 สิ่งนี้ ทำงานสัมพันธ์กันหากมีค่าไหนมีการเปลี่ยนแปลงไปก็มีผลกับความสว่างและความมืดของภาพทั้งนั้น โดยที่เราเรียกการที่แสงสว่างขึ้น 1 เท่า ว่า +1Stop หรือหากแสงมืดลงครึ่งหนึ่ง เราก็เรียกว่า -1Stop เพราะฉะนั้น Stop ก็คือหน่วยของค่าแสงที่เพิ่มขึ้นหรือลดลงนั่นเอง โดยสัญลักษณ์หรือสเกลที่จะบ่งบอกว่าตอนนี้แสงสว่างขึ้นหรือน้อยลงมีอยู่ในกล้องทุกตัว มีหน้าตาแบบในกรอบสามเหลี่ยมสีชมพูด้านบนครับ ซึ่งมันก็คือหัวใจของการวัดแสง และควบคุมแสงนั่นเองครับ
อุปกรณ์ที่ต้องเตรียมสำหรับ Water Splash Photography
– กล้อง
สำหรับกล้องนั้น ต้องบอกเลยว่า เพื่อนๆสามารถใช้กล้องอะไรก็ได้ครับ ไม่ว่าจะเป็นกล้อง DSLR / กล้อง Mirrorless หรือ กล้อง Compact ก็สามารถนำมาใช้ถ่ายภาพ Water Splash Photography ได้เช่นกันครับ ทั้งนี้เราอาจจะต้องพิจารณากันเป็นพิเศษ โดยเฉพาะในส่วนของการตั้งค่าครับ เพราะ หาก Setting ผิดพลาดขึ้นมา หรือ ไม่เข้าใจความสัมพันธ์ของทั้ง 3 ค่า อย่าง Aperture / ISO / Speed Shutter แล้ว อาจทำให้เราไม่ได้ภาพ Water Splash Photography ที่สวยสมตามที่เราหวังไว้ครับ ซึ่งทีมงานแนะนำให้เพื่อนๆสังเกต เกจชดเชยแสงที่มักปรากฏอยู่บริเวณกลางล่างของจอ สาเหตุที่ให้ดูเกจชดเชยแสงประกอบ เพราะ เราต้องการให้ฉากหลังดำสนิทนั่นเอง พยายาม Setting ค่าต่างๆ ซึ่งไม่อาจ Fix ตายตัวได้ ให้เกจชดเชยแสงติด Under ประมาณ -0.7 ถึง -1 ครับ
*** ค่า Setting ที่แนะนำ : ISO 800 – 1600 // Speed Shutter 1/500 – 1/1000 // ค่า F 2.8 – 5.6 อาจจะไม่ใช่ค่า Setting ทางการ เพราะ สามารถปรับเปลี่ยนได้ตามสถานการณ์ ***
– เลนส์
หากว่ากันจริงๆแล้ว เลนส์แต่ละตัวต่างถูกออกแบบให้มีหน้าที่เฉพาะทางที่แตกต่างกันออกไป ไม่ว่าจะเป็น Portrait , Landscape , Street , Food เป็นต้น แต่สำหรับการถ่าย Water Splash Photography นั้น เพื่อนๆสามารถใช้เลนส์อะไรก็ได้ในการถ่ายครับ แน่นอนว่าเลนส์ Kit ติดกล้องนั้นก็สามารถนำมาถ่ายได้เช่นกันครับ ซึ่งทีมงาน Zoomcamera แนะนำเป็นเลนส์ในช่วง Ultra Wide ถึง Normal ครับ สำหรับ Ultra Wide จะได้เปรียบในเรื่ององศารับภาพ ที่ทำให้เราสามารถเล่นมุมมองต่างๆได้อย่างอิสระกว่าเลนส์ Normal นั่นเอง ส่วนเลนส์ Normal นั้นไม่ต้องเสียใจไป เพราะ ระยะทำการอาจจะไม่ได้กว้างมากนัก แต่ก็เพียงพอสำหรับการถ่าย Water Splash Photography แล้ว เราอาจจะเน้นการจัด Composition แทนก็ได้ครับ
– แฟลช / ไฟต่อเนื่อง
ผู้ช่วยชั้นเลิศสำหรับการถ่าย Water Splash Photography ก็ว่าได้ครับ เพราะ แฟลช / ไฟต่อเนื่อง ต่างใช้ในการสาดแสงให้เข้ามากระทบกับตัว Subject ของเรานั่นเองครับ แต่มีข้อแม้เล็กๆ สำหรับการถ่าย Water Splash Photography คือ หากเราจะจัดฉากเพื่อใช้ไฟต่อเนื่องนั้น จำเป็นจะต้องใช้ไฟต่อเนื่อง 2 ดวง ประกบซ้าย – ขวา เนื่องจากว่าเราต้องการให้แสงที่จะกระทบกับตัววัตถุที่จะถูกปล่อยลงในน้ำ มีปริมาณแสงที่เท่ากันนั่นเองครับ
สำหรับแฟลชนั้น ขึ้นอยู่กับ Skill ของผู้ใช้งานเป็นหลัก ซึ่งหากไม่มีการใช้ไฟต่อเนื่องในการ Set ฉาก เราอาจจะใช้ Flash ยิงก็ได้ครับ หรือ ถ้ามีการ Set ฉากไฟต่อเนื่องไว้ และเห็นว่าปริมาณแสงเพียงพอแล้ว เราอาจจะไม่จำเป็นต้องพกแฟลชแต่อยางใดครับ
– ตู้ใส
อุปกรณ์อีก 1 สิ่งที่จะขาดไปไม่ได้ สำหรับการถ่าย Water Splash Photography ครับ สาเหตุเพราะด้วยขนาดและความกว้าง ทำให้สามารถพลิกแพลงในการถ่าย Water Splash Photography ได้เป็นอย่างดีครับ โดยตู้ใสในที่นี้ เราสามารถเลือกใช้ตู้ปลาใสก็ได้เช่นกันครับ สำหรับความใสนั้น ยิ่งใสเท่าไรยิ่งดี เพราะ คราบที่เกาะตามตู้ มีโอกาสที่ปรากฏในภาพที่เราจะถ่ายได้เช่นกันครับ ฉะนั้น ควรทำความสะอาดตู้ทุกครั้ง เพื่อคงความใสก่อนำมาใช้งานด้วยนะครับ
– ผ้าดำ
บางท่านอาจจะสงสัย ว่า มีตู้ใสที่ใส่น้ำอยู่แล้ว ทำไมต้องเอาผ้าดำมาด้วย คำตอบ คือ ผ้าดำเราจะนำมาคลุมพื้นและฉากหลังของเรานั่นเองครับ อย่าลืมว่าตู้ใสหากวางกับพื้นที่มีลวดลายต่างๆ ลวดลายเหล่านั้นจะสะท้อนขึ้นมาจากทางด้านหลัง ซึ่งแน่นอนว่าเราก็คงไม่ปรารถนาที่จะได้ลวดลายเหล่านั้นเข้ามาในเฟรม และ การที่ฉากหลังดำนั้น ทำให้เราไม่จำเป็นต้องใช้ Flash ให้ยุ่งยากอีกต่อไป ทั้งนี้ผ้าดำที่จะนำมาใช้นั้น จะต้องมีความหนาซักเล็กน้อย เพราะ ในการถ่าย Water Splash Photography จะเป็นการถ่ายอย่างต่อเนื่อง ฉะนั้น น้ำที่กระเซ็นออกมา ก็พร้อมที่จะทำให้ผ้าดำเปียกตลอดเวลานั่นเองครับ
– ผัก / ผลไม้
มาถึงพระเอกของเราสำหรับการถ่าย Water Splash Photography ครับ สาเหตุที่เราเลือกให้เป็นพระเอก เพราะ การถ่ายน้ำกระเซ็นธรรมดาๆ มันก็จะไม่ค่อยมีสีสันซักเท่าไร แต่เมื่อเราหยิบผลไม้ ที่มีสีสันต่างๆ บรรจงปล่อยลงในน้ำ แน่นอนว่ายิ่งเพิ่มความ Colorful ให้กับภาพ Water Splash Photography ได้เป็นอย่างดีครับ ยิ่งฉากหลังของเราเป็นสีดำสนิทที่มาจากผ้าดำด้วยแล้ว ผลไม้ที่มีสีสันสดใส ไม่ว่าจะสีส้ม , สีเหลือง , สีแดง ยิ่งจะดูโดดเด่นมากยิ่งขึ้นครับ ทั้งนี้ทีมงาน Zoomcamera แนะนำว่าให้หลีกเลี่ยง ผัก / ผลไม้ ที่มีผิวบาง หรือ แข็งที่พร้อมเสี่ยงต่อการเสียหายให้กับตู้กระจกของเรา อาทิเช่น ทุเรียน , สัปปะรด เป็นต้น
*** ภาพตัวอย่าง : Water Splash Photography ***
Credit : DigitalPhotographySchool
ติดต่อสอบถามเพิ่มเติม
inbox : http://www.facebook.com/messages/zoomcamera
02-635-2330 ต่อ 0 / 083-067-7677 (หยุดวันอาทิตย์)
สาขาสีลม 02-635-2330-1 / 080-271-2772
สาขาเดอะมอลล์งามวงศ์วาน 02-951-8597 / 085-937-0123
สาขาเมกาบางนา 02-105-1926 / 086-554-1919
สาขาเดอะมอลล์บางแค 02-454-9598 / 084-033-0498
สาขาฟอร์จูนทาวน์ 02-642-1291 / 083-068-2775
สาขา Central Festival เชียงใหม่ 052-068-787 / 096-878-4896
สาขา Central Westgate 02-060-4362 / 097-063-4328
บทความนี้เขียนเมื่อวันที่ 24/05/2018